ในหนังสือ จากหลุมลึกสู่ธรรมาสน์ จอห์น สตรูปเล่าถึงความทุกข์ยากที่รุนแรงและไร้ความปรานีในชีวิตที่โจมตีและทารุณเขาทั้งทางร่างกาย ทางเพศ และทางอารมณ์ เขาเล่าว่า “ผมเริ่มใช้ยาเสพติดก่อนที่ผมจะขับรถเป็น…ผมออกจากโรงเรียนและเริ่มถลำลึกลงในวิถีชีวิตของอาชญากร” ในที่สุด อาชญากรรมที่จอห์นก่อก็ทำให้เขาต้องติดคุก ในระหว่างการรับโทษจำคุกห้าปี พระคัมภีร์กลายเป็นจริงสำหรับเขา และเขาได้ยอมถ่อมใจลงต่อพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ เขาหลุดพ้นจากนิสัยที่เคยแข็งแกร่งกว่าเขา
ประสบการณ์ของอิสราเอลในสมัยโบราณมักเป็นการถูกกดขี่และบางครั้งก็ถูกจับเป็นเชลย “จากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา” (ยรม.31:11) ถึงแม้ว่าสถาน-การณ์ที่ยากลำบากเหล่านั้นจะเกิดจากความโง่เขลาของพวกเขาเอง แต่พระเจ้ายังทรงสำแดงพระเมตตาและพระกำลังของพระองค์เพื่อประชาชนที่หลงผิด การสร้างใหม่อันหมายรวมถึงการร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดี ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ และการเฉลิมฉลอง (ข้อ 12-14) เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงสำแดงพระกำลังที่เหนือกว่าของพระองค์เพื่อประโยชน์ของพวกเขา
ชีวิตของจอห์น สตรูปเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อผู้ที่ไว้วางใจในพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า หนังสือพระกิตติคุณเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ในการเอาชนะความชั่วร้ายอันน่ารังเกียจในชีวิตของมนุษย์ และ “ทุกคนซึ่งได้ออกพระนาม” ของพระองค์ (กจ.2:21) จะสามารถเข้าถึงพระกำลังและฤทธิ์อำนาจของพระเยซูได้ในวันนี้ ผ่านทางการอธิษฐานอย่างจริงใจและเปี่ยมด้วยความเชื่อ และการยอมจำนนที่แท้จริง
ในฐานะที่เป็นเด็กยุคฟิฟตี้และซิกตี้ (ทศวรรษ 1950 และ 1960) ผมเติบโตมาในช่วงเวลาที่ “สิ่งบันเทิงยามว่างของอเมริกา” คือ เบสบอล ผมแทบรอไม่ได้ที่จะออกไปที่สนามเพื่อเล่นเบสบอล และหนึ่งในความตื่นเต้นที่สุดของผมคือตอนที่ได้รับเสื้อเบสบอลของตัวเองที่มีตราของทีมเราติดอยู่ ทีมไจแอนท์! แม้ว่าเลข 9 ด้านหลังจะทำให้ผมแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่น แต่ชุดที่เหมือนกันแสดงให้เห็นว่าเราอยู่ทีมเดียวกัน
คำสอนในมัทธิว 5:3-10 ที่รู้จักกันในชื่อว่า ผู้เป็นสุข พระเยซูทรงระบุถึงคนเหล่านั้นที่เป็นของแผ่นดินสวรรค์ว่าเป็นผู้ที่ “สวมใส่เสื้อ” ของการเป็นเหมือนพระคริสต์ แผ่นดินสวรรค์เต็มไปด้วยคนเหล่านั้นที่สวมความคิดและคุณลักษณะเช่นเดียวกับกษัตริย์ของพวกเขา พระเยซูตรัสว่า “ผู้เป็นสุข” นั้นไม่สามารถจำแนกได้จากรูปร่างภายนอก สุขภาพ หรือทรัพย์สมบัติ แต่สิ่งที่อยู่ภายในหรือจิตใจของผู้นั้นต่างหากที่สำคัญ “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 3) คือคนเหล่านั้นที่รู้ว่าตนเองมีความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณ “บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 6) คือคนเหล่านั้นที่จิตวิญญาณของพวกเขากระหายที่จะถวายเกียรติและทำให้พระเจ้าพอพระทัย “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 9) คือคนเหล่านั้นที่ร่วมกับพระเยซูในการแสวงหาความปรองดอง
ขณะที่พระวิญญาณทรงช่วยเรา เราสามารถสวมใส่อาภรณ์แห่งการเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้เชื่อในพระเยซูและเป็นสมาชิกในทีมของพระองค์ เพราะเราได้รับการอวยพรจริงๆ!
พระเยซู พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อผมอย่างไร ผมไม่เคยคิดถึงคำถามนี้จนกระทั่งลูเพื่อนของผมเล่าประสบการณ์ที่เขาร้องไห้จนหมดหัวใจต่อพระคริสต์ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้สติปัญญาและความเข้มแข็งเกินกำลังที่เขามีอยู่ การได้ยินเขาถามคำถามสำคัญนี้ในการอธิษฐานช่วยเปิดความเข้าใจและฝึกฝนผมให้อธิษฐานในมิติใหม่
ในลูกา 22 ไม่มีความลึกลับใดๆ เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อซีโมนเปโตรว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด” (ข้อ 31-32) เมื่อเปโตรถูกโจมตีผ่านการทดลอง ความเชื่อของท่านก็สั่นคลอน แต่เพราะพระคุณของพระคริสต์ ท่านจึงไม่ล้มลง
พระธรรมกิจการบอกเราว่า พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระเยซูที่อธิษฐานเผื่อเปโตรสาวกที่กระตือรือร้นแต่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงใช้ท่านไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ทั้งแก่ชาวยิวและคนต่างชาติ และพันธกิจอธิษฐานของพระเยซูยังไม่จบสิ้น เปาโลย้ำเตือนเราว่า “พระเยซูคริสต์...ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเรา
ทั้งหลายด้วย” (รม.8:34) เมื่อคุณพบว่าตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ยากจากการทดลองหรือการล่อลวง จงจำไว้ว่าพระเยซูผู้ทรงอธิษฐานเผื่อบรรดาสาวกของพระองค์ ก็ยังคงอธิษฐานเผื่อผู้ที่เชื่อในพระองค์ผ่านถ้อยคำที่พวกสาวกประกาศด้วยเช่นกัน (ดู ยน.17:13-20)
ในปี 2024 นักธุรกิจพันล้านโรเบิร์ต เฮล จูเนียร์ กล่าวกับผู้สำเร็จการศึกษา 1,200 คนจากมหาวิทยาลัยว่า “ในช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้ เราจำเป็นต้องมีการแบ่งปัน การดูแลและการให้ที่มากขึ้น[ผมกับภรรยา ]อยากมอบของขวัญสองชิ้นแก่พวกคุณ ชิ้นแรกเป็นของขวัญที่เรามอบให้คุณ และชิ้นที่สองคือของขวัญเพื่อการให้” จากนั้นตามมาด้วยการแจกซองจดหมายสองซองให้กับบัณฑิตผู้ซึ่งไม่ได้คาดหวังมาก่อน โดยแต่ละซองมีเงินห้าร้อยดอลล่าร์เพื่อเก็บไว้เอง และอีกห้าร้อยดอลล่าร์เพื่อมอบให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
แม้ว่าความมั่งคั่งของโรเบิร์ต เฮล ทำให้เขาแบ่งปันแบบนี้ได้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ความเอื้อเฟื้อไม่ได้สงวนไว้สำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินมหาศาลเท่านั้น ในอดีตผู้เชื่อพระเยซูในเมืองมาซิโดเนียได้ถวายจากความยากจนของตนเพื่อผู้เชื่อในกรุงเยรูซาเล็มจะมีในสิ่งที่ต้องการ เปาโลกล่าวถึงชาวมาซิโดเนียว่า “เมื่อคราวที่พวกเขาถูกทดลองอย่างหนักได้รับความทุกข์ยาก ความยินดีล้นพ้นของเขาและความลำบากยากจนอย่างที่สุดของเขานั้น ก็ล้นออกมาเป็นใจศรัทธาอย่างยิ่ง” (2 คร.8:2) ท่านชมเชยพวกเขาเพราะ “เขาศรัทธาถวายโดยสุดความสามารถของเขา ที่จริงก็เกินความสามารถของเขาเสียอีก และเขายังวิงวอนเรามากมาย ขอให้เขามีส่วนในการช่วยธรรมิกชนด้วย” (ข้อ 3-4)
ผู้ที่ตระหนักว่าตนได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้าโดยทางพระเยซู จะตอบสนองด้วยการให้กับผู้อื่นที่มีความต้องการด้วยใจเอื้อเฟื้อ โดยการช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอให้เราถวายตามแบบอย่างของพระองค์ผู้ทรงตรัสว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กจ.20:35)
“โอ้โห!” คือปฏิกิริยาของสมาชิกในทีมของเราที่ได้เยี่ยมชมศูนย์พักฟื้นและฝึกอบรมที่ถูกซื้อมาในราคาสูง โดยผู้ที่มีนิมิตที่อยากจะหนุนใจและให้บรรดาผู้รับใช้ในพันธกิจได้ใช้เพื่อการฟื้นใจ พวกเราตื่นตาตื่นใจกับรถบัสสองชั้น เตียงสองชั้นขนาดห้าฟุต และห้องชุดพร้อมเตียงขนาดหกฟุต นอกจากนี้ห้องครัวและพื้นที่รับประทานอาหารที่ตกแต่งอย่างงดงามยังทำให้พวกเราตาโต และเมื่อคุณคิดว่าได้เห็นทุกอย่างแล้ว ก็จะยังมีสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอีกมากมาย รวมถึงสนามบาสเกตบอลในร่มขนาดมาตรฐาน ทุกอย่างทำให้ต้องร้องว่า “โอ้โห”
พระราชินีแห่งเชบารู้สึก “โอ้โห” ในแบบที่คล้ายกันนี้เมื่อเสด็จไปเยี่ยมกษัตริย์ซาโลมอนในกรุงเยรูซาเล็มยุคโบราณ เมื่อพระองค์ “ทรงเห็นพระสติปัญญาทั้งสิ้นของซาโลมอน และพระราชวังที่พระองค์ทรงสร้าง... พระทัยของพระนางก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง” (1 พกษ.10:4-5 THSV11) หลายศตวรรษต่อมา ผู้สืบเชื้อสายจากกษัตริย์ดาวิดอีกผู้หนึ่งคือพระเยซูได้ปรากฏขึ้น และพระองค์ทรงทำให้ผู้คนประหลาดใจในแบบที่แตกต่างออกไป ทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไป ผู้คนต่างรับรู้ถึงความอัศจรรย์ในพระปัญญาและพระราชกิจของพระองค์ (ลก.4:36) และพระองค์ทรงเร้าใจให้พวกเขาเห็นว่า “ซึ่งใหญ่กว่าซาโลมอน” ได้มาปรากฏแล้ว (11:31) พระราชกิจอันน่าตื่นตะลึงของพระเยซูนำมาซึ่งการอภัยโทษบาปที่พระองค์ทรงจ่ายด้วยราคาแพงโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เอง พระองค์ทรงต้อนรับทุกคนที่จะเข้ามาหาพระองค์ และผู้ที่ทำเช่นนั้นจะได้สัมผัสกับความงามและพระคุณของพระองค์ และจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ทั้งในปัจจุบันและตลอดนิรันดร์ โอ้โห!
สถานที่จัดงานและที่พักสำหรับการประชุมผู้นำของเราในย่านใจกลางเมืองชิคาโกนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความขาดแคลนที่ผมเห็นระหว่างทางไปที่นั่น ความขาดแคลนเหล่านี้รวมไปถึงคนที่ขาดแคลนอาหารและที่พักพิงขั้นพื้นฐาน ความแตกต่างนี้ช่วยให้ผมสามารถนึกภาพและระบุสิ่งที่เราจำเป็นต้องรวบรวมไว้ในการวางแผนงานเพื่อรับใช้ทั้งในเมืองและที่อื่นๆได้อย่างชัดเจน เพื่อรวบรวมทรัพยากรในเรื่องข่าวประเสริฐ (คือทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยเผยแพร่ข่าวแห่งความรักและความรอดของพระเจ้า) ไปยังสถานที่ซึ่งมีความต้องการที่สุด
ขณะที่เปาโลเขียนจดหมายถึงผู้เชื่อชาวโรมัน ท่านยังไม่เคยไปเยี่ยมพวกเขา แต่ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายวิญญาณจิตมาให้...เพื่อเสริมกำลังท่าน...และ...ได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย” (รม.1:11-12) อัครทูตมุ่งหวังการ “แลกเปลี่ยนของประทาน” ที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านและผู้อื่นขณะที่พวกเขาต่างมีชีวิตเพื่อพระเยซูและรับใช้ผู้อื่น
ทรัพยากรที่เรามีนั้นรวมถึงของประทานฝ่ายวิญญาณและทรัพยากรที่เป็นวัตถุซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา ขอให้เรายอมที่พระองค์จะทรงใช้เราในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนด้วยความรักเมตตา และเมื่อพระเจ้าทรงเสริมกำลังเรา ขอให้เราเปิดใจ เปิดปาก และเตรียมมือของเราในการรับใช้ผู้อื่น ขอให้เราทำโดย “ไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด”(ข้อ 16)
เมื่อแจ็คกี้ โรบินสันนักเบสบอลผิวดำคนแรกลงเล่นในเมเจอร์ลีกที่สนามไชบ์ปาร์คเมืองฟิลาเดลเฟีย ในวันที่ 9 พฤษาคม ค.ศ. 1947 ดอริสวัยสิบขวบนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์ชั้นบนกับพ่อของเธอ ต่อมามีชายผิวดำสูงวัยคนหนึ่งเดินมาตามช่องทางเดินและนั่งลงข้างพวกเขา พ่อของเธอเป็นคนเริ่มชวนเขาพูดคุย ดอริสเล่าว่าบทสนทนาเรื่องการเก็บแต้มของพวกเขานั้นทำให้เธอรู้สึกราวกับว่า “โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” เธอพูดเพิ่มเติมว่า “ฉันไม่เคยลืมชายคนนั้นและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา” ปฏิสัมพันธ์ที่น่ายินดีระหว่างเด็กผู้หญิงผิวขาวกับชายสูงวัยใจดีที่เคยมีพ่อเป็นทาสได้จุดประกายความสว่างในวันนั้น
แต่โรบินสันต้องพบเจอกับพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงในการแข่งขันนัดอื่นๆในฤดูกาลเดียวกัน เขาเล่าว่า “ในแง่ของเชื้อชาติ พวกเขาตะคอกใส่ผมในทุกๆเรื่อง มันเลวร้ายมาก”
การประพฤติที่ชั่วร้ายไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงในสนามกีฬาเท่านั้น ในบ้าน ชุมชน ที่ทำงาน หรือแม้แต่คริสตจักรก็อาจเป็นพื้นที่ซึ่งความน่าเกลียดน่าชังมีชัยชนะได้ อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสำแดงความเมตตาผ่านพระบุตรของพระองค์ (ทต.3:4) ได้รับการทรงเรียกให้แสดงความเมตตาเช่นเดียวกับพระองค์ เปโตรเขียนไว้ว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า” (1 ปต.3:8-9) ความเมตตาจะมีชัยชนะ เมื่อผู้ที่ได้รับความเมตตาจากพระเจ้า จะแบ่งปันความเมตตานั้นแก่ผู้อื่นด้วยใจกว้างขวางตามการช่วยเหลือของพระวิญญาณ
ในบรรดาเรื่องท้าทายในวัยเด็กของเอริคนั้นมีทั้งโรคผื่นผิวหนังขั้นรุนแรง สร้างปัญหาในโรงเรียน และการเมาเหล้าหรือยาเสพติดทุกวันตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงกระนั้น คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ราชาแห่งความชั่วร้าย” ยังค้นพบว่าตัวเองเก่งกีฬาเบสบอล จนกระทั่งเขาเลิกเล่นเบสบอลเมื่อรู้สึกท้อแท้จากการถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งทำให้เขายิ่งมีเวลามากขึ้นเพื่อไปใช้ยาและขายยา
แต่สถานการณ์ของเอริคเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้มีประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตกับพระเยซูขณะนมัสการที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง เมื่อไปทำงานในวันต่อมา มีผู้เชื่อที่อุทิศตัวคนหนึ่งชวนเอริคไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเขาได้ยินถ้อยคำหนุนใจในความเชื่อใหม่ที่เขาพบ “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร.5:17) ชีวิตของเอริคไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เซาโลแห่งเมืองทาร์ซัส(ที่รู้จักในชื่อเปาโล) ก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในพวก “ตัวตึง” เช่นเดียวกับเอริค ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” ในพวกคนบาป (1ทธ.1:15) ท่านเคยเป็น “คนหลู่พระเกียรติ ข่มเหง และทำการหมิ่นประมาทพระองค์” (ข้อ13) เอริคก็เป็นคนที่เหมาะสมสำหรับพระเยซู เช่นเดียวกับเซาโล และพวกเราก็เช่นกัน แม้เราจะไม่คิดว่าตัวเองเหมือนเซาโลหรือเอริค แต่เพราะ “ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (รม.3:23) พวกเราทุกคนจึงเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับพระเยซู
ดเวย์นเพื่อนของผมมีคุณแม่ชื่อชาร์ลีน เธออายุเก้าสิบสี่ปี สูงไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบสองเซนติเมตรและหนักไม่ถึงสี่สิบห้ากิโลกรัม แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดูแลลูกชายของเธอผู้ซึ่งมีสภาพร่างกายที่ไม่เอื้อต่อการดูแลตนเอง ผู้ที่ไปเยี่ยมบ้านสองชั้นของพวกเขามักจะพบว่าชาร์ลีนอาศัยอยู่บนชั้นสอง และจะค่อยๆลงบันไดสิบหกขั้นมายังชั้นหนึ่งเพื่อต้อนรับแขก เช่นเดียวกับที่เธอทำในการดูแลลูกชายที่เธอรัก
ความมุ่งมั่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของชาร์ลีนทำให้ผมประทับใจ ผมได้รับการท้าทายและแรงบันดาลใจจากการที่เธอให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของลูกชายมากกว่าของตัวเธอเอง เธอเป็นแบบอย่างในสิ่งที่เปาโลหนุนใจไว้ในฟีลิปปี 2 ว่า “จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย” (ข้อ 3-4)
การดูแลผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือความต้องการอื่นๆอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง ความจำเป็นต่างๆในชีวิตอาจทำให้เรารู้สึกเครียดและกดดัน และแม้แต่คนที่อยู่ใกล้เราที่สุดก็อาจต้องรับผลกระทบหากเราไม่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะมองข้ามความต้องการของตัวเราเอง แต่การเอาใจใส่ดูแลอย่างถ่อมใจคือสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้ทำ (ดูข้อ 1-4) เมื่อเราอุทิศตนเอง เราก็ได้ทำตามแบบอย่างของพระเยซูและได้ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย อัครทูตท่านนี้เตือนเราว่า “ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 5)